Bangpakok Hospital
  • A
  • A
  • A
BPK Hotline

ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “RSV”

16 ต.ค. 2566

 

ดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัย ห่างไกล “
RSV”
"ฤดูฝน" อาจแฝงมาด้วยเชื้อพาหะของโรคต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วย โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นทางจมูก คอหอย หลอดลม หรือปอด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น เชื้อ RSV เป็นไวรัสซึ่งมีการระบาดทุกปี มักระบาดในช่วงฤดูฝนหรืออาจต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นฤดูหนาว [1]
 
RSV คืออะไร ?
RSV คือไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มี 2 สายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจของเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เป็นส่วนมาก [1]
 
RSV กระทบต่อระบบทางเดินหายใจในเด็กอย่างไร
ทำให้เกิดอาการทางระบบหายใจส่วนบน เช่น น้ำมูก ไอ จาม เจ็บคอ ในบางรายอาจมีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ ในกลุ่มเด็กเล็ก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวอาจเกิดอาการรุนแรง ระบบหายใจล้มเหลว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจได้
 
ผู้ป่วยเด็กกลุ่มใดที่อาจมีอาการรุนแรงได้
  • เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยเฉพาะเด็กทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือน อาจทำให้เด็กหยุดหายใจได้
  • เด็กที่มีโรคประจำตัวเช่นภาวะโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง เด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีภาวะขาดสารอาหาร
  • เด็กที่คลอดก่อนกำหนด

ติดเชื้อ
RSV จะมีอาการอย่างไร ?
ช่วงแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดาเช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่แข็งแรงดีอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ติดเชื้อครั้งแรก พบร้อยละ 20-30 ที่มีอาการโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง ไม่ว่าจะเป็นหลอดลม หรือเนื้อปอด เสมหะเหนียวอุดทางเดินหายใจ หายใจลำบาก อาจทำให้เกิดหลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบตามมาได้ โดยมักแสดงอาการดังนี้
  • ไข้สูง
  • ไอถี่
  • หายใจหอบเหนื่อย
  • หายใจมีเสียงหวีดหวิว
  • เสียงครืดคราดในลำคอ
  • ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ ไซนัสหรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งอาจทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้นได้


จะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเป็น
RSV
แพทย์สามารถตรวจได้จากน้ำมูก ซึ่งจะตรวจพบเชื้อ RSV เพียงร้อยละ 53-96 ของผู้ป่วยทีติดเชื้อ RSV การตรวจทำได้ในบางโรงพยาบาลเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกรายเพราะการตรวจพบหรือไม่พบเชื้อ RSV ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรค [1]

 
เชื้อ RSV สามารถติดต่อได้อย่างไร
เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันง่าย ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ โดยไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทาง ตา จมูก ปาก ผ่านการไอหรือจาม ติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV เช่น น้ำมูก น้ำลายหรือสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งเช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น เป็นต้น เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมงและสามารถอยู่ที่มือของเราได้นานประมาณ 30 นาที ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีเด็กเล็กป่วยในบ้านควรล้างมือบ่อยๆก่อนสัมผัสเด็ก [1]
 
คำแนะนำเมื่อเป็น RSV
  • โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นาน 3-8 วันหลังมีอาการป่วยแต่อาจนานถึง 3-4 สัปดาห์ในเด็กเล็กหรือเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • หากพบว่าเด็กมีอาการป่วย ควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายหรืออย่างน้อย 5-7 วัน เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
  • หากเด็กมีไข้สูง ไม่กิน ไม่เล่น หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจมีเสียงหวีด เซื่องซึม ผู้ปกครองควรจะพามาพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
  • ให้เด็กดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เสมหะเหนียว
  • เมื่อเป็นแล้วสามารถเป็นได้อีกหลายครั้ง เนื่องจากไวรัส RSV มี 2 สายพันธุ์ และกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ
  • ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อ RSV ได้แต่อาการมักไม่รุนแรงเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันมาบ้างแล้ว [1]
 
การรักษาเมื่อลูกเป็น RSV
ผู้ที่ติดเชื้อ RSV จะแสดงอาการได้เร็วที่สุดหลังรับเชื้อได้ 2 วัน และช้าที่สุดประมาณ 8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 วัน โดยปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีแค่รักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลมหรือน้ำเกลือ เคาะปอดและระบายเสมหะ
 
การป้องกัน RSV ทำได้อย่างไร ?
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ไม่มียาป้องกัน จึงควรป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อได้ ดังนี้
  • ทุกคนในบ้านหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ทั้งมือของตนเองและลูกน้อย เพราะการล้างมือนอกจากจะลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆที่ติดมากับมือทุกชนิด ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึงร้อยละ 70
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้ ไอ น้ำมูก
  • หลีกเลี่ยงเด็กทั้งสบายดีหรือป่วยไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด
  • ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ
  • ผู้ปกครองควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ทารกที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า
  • ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
  • ออกกำลังกายในอากาศที่ถ่ายเท เป็นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง
  • สำหรับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองเมื่อบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ
 
     สำหรับคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองที่ลูกมีอาการป่วย ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติ ไม่ไปอยู่ในสถานที่แออัด ควรดูแลทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวและแยกไว้ต่างหากเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเข้าเรียนในเนิร์สเซอร์รีหรือโรงเรียนอนุบาลแล้ว หากมีอาการป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อได้อีกทางหนึ่ง

        
เอกสารอ้างอิง
แพทย์หญิง กิจจาวรรณ เฮงคราวิทย์ และรองศาสตราจารย์(พิเศษ)นายแพทย์ ทวี โชติพิทยสุนนท์. (2566). โรคติดเชื้ออาร์เอสวี RSV, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

สนับสนุนข้อมูลโดย : พญ. เบญจวรรณ สังฆวะดี แพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคระบบทางเดินหายใจ
ศูนย์การแพทย์ : ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์กุมารเวชกรรม
                                    

Go to top
Copyright © 2019 Bangpakok Hospital All rights reserved.